ทำไมต้องรู้? juvelook กับ aesthefill ฉีดหน้าใสคอลลาเจนเกาหลี

สารบัญเนื้อหา 44Botox

ใครที่อยากมีผิวสวยกระจ่างใสและอ่อนเยาว์วัยต้องรู้ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะประโคมผิวด้วยครีมบำรุงเท่าไหร่? ก็ไม่เห็นผลสักที 44botox ขอแนะนำ juvelook กับ aesthefill ที่เป็นนวัตกรรมสารกระตุ้นคอลลาเจนตัวใหม่ ที่คลินิกเสริมความงามชั้นนำของไทย ต่างยกย่องให้เป็นดาวจรัสแสงดวงใหม่เรื่องการฉีดหน้าใสแห่งวงการความงาม ทำให้ใครที่เลือกใช้ต่างก็ดูดีขึ้นและเห็นผลเร็วทันใจ! แต่ควรเลือกใช้ตัวไหนดี? ถึงจะเหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการเรื่องความงามได้ดีที่สุด ต้องตามไปดูรายละเอียดกันต่อเลย

juvelook กับ aesthefill

เตรียมความพร้อม รู้จักกับ juvelook กับ aesthefill เกาหลี คืออะไร?

Juvelook กับ Aesthefill ต่างเป็นนวัตกรรมไหมน้ำ Collagen Biostimulator ทางเลือกใหม่ที่ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้าที่พบได้บ่อย เช่น ริ้วรอย, ผิวหย่อนคล้อย, ผิวหมองคล้ำและหลุมสิว เป็นต้น โดยนวัตกรรมทางเลือกใหม่นี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศเกาหลีรวมทั้งในไทยด้วย ตามไปทำความรู้จักแต่ละตัวเพิ่มเติมให้มากขึ้น ดังนี้

Juvelook คืออะไร?

Juvelook ตัวยาที่เกิดจากการผสมผสานกันระหว่างกรดไฮยาลูโรนิกแอซิคประเภท Non Cross-linked HA (Hyaluronic Acid) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ “ฟิลเลอร์” ที่มีคุณสมบัติช่วยเติมเต็มร่องลึกให้ใบหน้ายกกระชับ, ช่วยฟื้นฟูผิวให้สดในและปรับสภาพผิวให้สุขภาพดีและพอลิแลกติก หรือ Poly-D,L-lactic acid (PDLLA) ที่มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังจึงทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นแลดูอ่อนวัย

aesthefill ช่วยอะไร?

aesthefill ตัวยาหลักของไหมน้ำคือ Poly-D,L-lactic acid (PDLLA) เป็นหลักมีส่วนช่วยในการยกกระชับผิวหน้าให้อ่อนเยาว์วัย ผิวมีความเรียบเนียนและช่วยลดปัญหารูขุมขนกว้าง

ก่อนใช้ juvelook กับ aesthefill ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

การเตรียมตัวก่อนการฉีดหน้าใสด้วย Juvelook กับ Aesthefill เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมาก เพราะมีส่วนช่วยลดอาการแพ้และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งการเตรียมตัวก่อนฉีดไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด โดยขั้นตอนในการเตรียมตัวก่อนฉีด มีดังนี้

1. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

แม้ว่า Juvelook กับ Aesthefill จะผลิตขึ้นจากสารสกัดจากธรรมชาติที่ทำให้เกิดอาการแพ้น้อยมากแต่ร่างกายของคนไข้แต่ละคนมีความไวต่อสารกระตุ้นภูมิแพ้แตกต่างกัน รวมถึงคนไข้บางคนจำเป็นต้องรับประทานยาเกี่ยวกับโรคประจำตัวที่มีฤทธิ์ต้านกับสารที่ใช้ฉีดหน้าใส จึงอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้นควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้แพทย์สามารถรักษาและช่วยเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับร่างกายได้ดีที่สุด

2. ประเมินสภาพผิวหน้า

การประเมินสภาพผิวหน้าเป็นขั้นตอนสำคัญที่อยู่ในกระบวนการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวิเคราะห์แผนการรักษาระหว่าง Juvelook กับ Aesthefill ที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ลูกค้าได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจมากที่สุด

3. ปฎิบัติตัวตามแพทย์สั่ง

การปฏิบัติตัวพื้นฐานที่แพทย์กำหนดก่อนฉีด Juvelook กับ Aesthefill ได้แก่ การงดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์, การรับประทานยา, อาหารเสริมหรือวิตามินและงดออกกำลังกายอย่างหนัก เป็นต้น เพราะมีส่วนในการลดประสิทธิภาพของตัวยาและอาจส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์หลังจากรักษา

juvelook กับ aesthefill เหมาะกับใครบ้าง ควรเลือกใช้แบบไหน?

การเลือกใช้ Juvelook กับ Aesthefill เพื่อฟื้นฟูหรือปรับสภาพผิวให้สวยอ่อนวัยขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่คนไข้ต้องการ โดยประสิทธิภาพของตัวยาแต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน ดังนี้

Juvelook เหมาะกับใครบ้าง?

นวัตกรรมตัวยาออกแบบมาเพื่อผู้ที่ต้องการกระชับรูขุมขน, เติมเต็มหลุมสิว, ยกกระชับริ้วรอย, ผู้ที่มีร่องลึกบนใบหน้า, ผิวแห้งเสีย, สีผิวไม่สม่ำเสมอ, ผู้ที่มีรอยแผลเป็นและผู้ที่ที่มีปัญหาริ้วรอยระหว่างคิ้ว เป็นต้น โดยผลลัพธ์หลังจากฉีดไหมน้ำใต้ตาในบริเวณที่ต้องการจะทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

Aesthefill เหมาะกับใครบ้าง?

เป็นนวัตกรรม Ultracol หรือไหมน้ำคือเทคโนโลยีใหม่ช่วยในการลดเลือนริ้วรอยและเติมเต็มคอลลาเจนใต้ผิวหนังในบริเวณที่ต้องการ ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนลดริ้วรอยที่ดีที่สุดเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยก่อนวัย, ริ้วรอยตามวัย, ผิวหนังหย่อนคล้อยโดยเฉพาะ

เทียบ juvelook กับ aesthefill แตกต่างกันอย่างไร?

ด้วยสารสกัดในตัวยา Juvelook กับ Aesthefill มีความแตกต่างกัน คือ Juvelook จะเกิดจากการผสมผสานกันระหว่างกรดไฮยาลูโรนิกแอซิคประเภท Non Cross-linked HA (Hyaluronic Acid) และพอลิแลกติกหรือ Poly-D,L-lactic acid (PDLLA) จึงทำให้ไหมน้ำใต้ตา Juvelook มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูและแก้ปัญหาผิวหน้าได้หลากหลายกว่า ในขณะที่ Aesthefill ใช้เทคโนโลยีไหมน้ำซึ่งเป็น biostimulator ชนิดหนึ่งจึงเน้นไปที่การฟื้นฟูผิวและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวดูเต็มและกระชับโดยเฉพาะ

juvelook กับ aesthefill เทียบกันช็อตต่อช็อต อยู่ได้นานแค่ไหน?

ประสิทธิภาพในการคงสภาพของ Juvelook และ Aesthefill ในแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป เนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพผิวของคนไข้และการดูแลตัวเองหลังการฉีด แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว Juvelook จะสามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้ประมาณ 6-12 เดือนและในบางรายสามารถคงสภาพได้นานถึง 2 ปี ในส่วนของ Aesthefill สามารถคงทนระหว่าง 12-24 เดือน

juvelook กับ aesthefill ต้องฉีดกี่ครั้ง แล้วมีผลข้างเคียงไหม?

Juvelook ปริมาณที่เหมาะสมและฉีดกี่ครั้งดี?

สำหรับการดูแลผิวด้วยโปรแกรม Juvelook แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ฉีดต่อเนื่อง 3 ครั้งต่อ 1 เดือนและเติมประสิทธิภาพของตัวยาทุกๆ 6-12 เดือนและควรปฎิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อยืดอายุการคงสภาพของตัวยา

Juvelook

Juvelook มีผลข้างเคียงไหม?

การใช้ Juvelook ค่อนข้างปลอดภัย หลังใช้อาจมีผลข้างเคียงจากการฉีดตัวยาเข้าสู่ชั้นผิว ซึ่งอาจจะเห็นเป็นรอยนูนหรือช้ำจากจุดที่เข็มฉีดเข้าได้เพียงเล็กน้อยและสามารถหายได้เองหลังจากผ่านไป 2-3 วัน

Aesthefill ปริมาณที่เหมาะสมและควรฉีดกี่ครั้งดี?

ในส่วนของ Aesthefill ปริมาณที่ใช้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยเฉลี่ยแล้วจะใช้ในปริมาณ 1-2 ขวดและเติมใหม่ทุก 1-2 เดือนหรือตามแพทย์นัด

Aesthefill

Aesthefill มีผลข้างเคียงไหม?

หากผู้รับหัตถการด้วย Aesthefillมีผิวที่บอบบาง อาจพบอาการบวม, แดง,ช้ำหรือชา หลังการฉีดได้ แต่สามารถหายเองได้ภายใน 1-3 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละคน สามารถประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวมได้หรือพยายามอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศเย็นก็ช่วยให้ผลข้างเคียงหลังการใช้ลดลงเร็วขึ้น

สรุป

หากคุณรู้สึกว่าการบำรุงครีมแบบเดิมไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง Juvelook กับ Aesthefill เป็นนวัตกรรมทางเลือกใหม่ที่ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ ใช้ในรูปแบบฉีดหน้าใสที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว มีคุณสมบัติหลักในการช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าแก่ก่อนวัย, รอยสิว, รอยแผลเป็นและผิวหน้าไม่สดใส ฟื้นคืนความมั่นใจเรื่องผิวหน้าที่คุณเสียไปให้กับมาดูดี ในแบบที่ต้องการ หากมองหาสารกระตุ้นคอลลาเจนในราคาพิเศษเลือกสั่งกับ 44Botox ได้ทันที หรือทำการนัดหมายกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของคลินิกในเครือ 44 botox เพื่อขอคำปรึกษาและจองคิวใช้บริการผ่าน Line ID ด้วยตัวเองได้เลย!

เพิ่มเพื่อน
Scroll to Top