เมื่อพูดถึงปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ตรงจุดที่ไม่ต้องการเติมเต็มมาก อย่างปาก, คาง, ร่องแก้ม, ใต้ตาและแก้มส้ม ส่วนใหญ่นิยมใช้ฟิลเลอร์ปริมาณเพียง 1 CC เพื่อแก้ไขปัญหาร่องลึกและริ้วรอยต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าคุณไม่เคยฉีด Filler มาก่อนอาจเกิดความสงสัยว่าตำแหน่งฉีดฟิลเลอร์ในร่างกายมีจุดไหนบ้าง? ฉีด 1 CC เยอะแค่ไหน? หากต้องฉีดเพื่อให้เห็นผลชัดเจนและมีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ ต่อร่างกาย ควรฉีดกี่ CC ถึงจะดีที่สุด 44botox จะพาไปไขข้อข้องใจให้ครบทุกประเด็น พร้อมเผยวิธีการเตรียมตัวก่อนฉีดและการดูแลตัวเองหลังฉีดแบบครอบคลุม
รู้จักการฉีดฟิลเลอร์ดีแล้วหรือยัง? ว่าคืออะไร?
ถ้าคุณยังไม่เคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อนและกำลังศึกษาข้อมูลก่อนฉีด มาทำความรู้จักการฉีดฟิลเลอร์ คืออะไรให้มากยิ่งขึ้นกันเลย หัตถการฉีดฟิลเลอร์ คือ การรักษาริ้วรอย ร่องลึกต่างๆ บนใบหน้าและการแก้ไขโครงสร้างใบหน้าในจุดต่างๆ เช่น ขมับและคาง เพื่อปรับสัดส่วนให้สวยงามตามความต้องการโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยการฉีดสารเติมเต็ม (Filling Substance) ประเภท Hyaluronic Acid หรือ HA เข้าสู่ชั้นผิวหนังหรือใต้ผิวหนังที่เริ่มเสื่อมสภาพและเกิดการยุบตัว เพื่อหวังผลในเรื่อง ทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน เต่งตึงและแลดูอ่อนเยาว์
ข้อควรรู้ ฉีดฟิลเลอร์ทำงานอย่างไร? มีผลข้างเคียงไหม?
การฉีดฟิลเลอร์หรือการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid ที่เป็นสารเดียวกันกับที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ เพียงแต่เมื่ออายุมากขึ้นจะมีปริมาณลดลง จะไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ และไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบการแพ้ก่อนฉีด แม้บางรายอาจพบว่ามีอาการบวมตึง อาการเขียวช้ำจากรอยเข็มให้เห็น แต่ก็สามารถหายเองได้ภายใน 1-2 สัปดาห์
โดยหลังจากฉีด Hyaluronic Acid เข้าไปยังชั้นผิว สารเติมเต็มประเภทนี้จะเข้าไปทดแทนคอลลาเจนและไขมันใต้ผิวที่เสื่อมสภาพ ส่งผลให้บริเวณชั้นผิวหนังมีความอิ่มฟู ตึงกระชับขึ้น เผยให้เห็นผิวชั้นนอกที่มีความเปล่งปลั่ง เรียบเนียนอย่างเห็นได้ชัด
แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังพบว่าฉีดฟิลเลอร์แล้วเกิดอาการผิดปกติตามมาได้ เช่น ตาบอด ตาพร่ามัว, อัมพาต, เนื้อตาย, ผิวหนังขาดเลือด, การอักเสบติดเชื้อ, แพ้ฟิลเลอร์, อาการชาและกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากเส้นประสาทบาดเจ็บ แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีเหตุผลมาจากการเลือกหัตถการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีประสบการณ์ ดังนั้นจึงสามารถพูดได้ว่าหัตถการฉีดฟิลเลอร์์นั้นมีความปลอดภัยสูง แต่ต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้บริการสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและเลือกฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจากอย.ด้วย นั่นเอง
ฉีดฟิลเลอร์จุดไหน? อย่างละกี่ CC ดี? ควรเลือกใช้แบบไหนถึงจะเหมาะสม?
โดยทั่วไปการฉีดฟิลเลอร์บนใบหน้า จะใช้ฟิลเลอร์ปริมาณตั้งแต่ 1-5 CC หรือก็คือคือมีปริมาณเทียบเท่า 1-5 ml แต่ปริมาณการฉีดก็ขึ้นอยู่กับปัญหาบนใบหน้าของแต่ละบุคคล บริเวณที่ต้องการฉีดและความพึงพอใจต่อผลลัพธ์ด้วย ซึ่งต้องผ่านการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า แต่ละสัดส่วนต้องฉีดกี่ CC ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ตรงใจมากที่สุด
นอกจากนั้น ในกรณีไม่เคยฉีดฟิลเลอร์มาก่อนหรือเพิ่งเริ่มต้นฉีดครั้งแรกตามความเห็นของแพทย์ปริมาณฟิลเลอร์ 1 CC ถือเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุด เพราะสามารถเติมเต็มร่องลึกตามจุดต่างๆ ที่ไม่ต้องการการเติมเต็มมากหรือไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น บริเวณร่องแก้ม, จมูก, ใต้ตา, คางและปาก
ตำแหน่งฉีดฟิลเลอร์ที่แนะนำ
1. ฟิลเลอร์หน้าผาก
ฟิลเลอร์หน้าผาก | รายละเอียด |
เหมาะกับใคร? | คนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ |
ฉีดฟิลเลอร์หน้าผากต้องใช้กี่ซีซี | ปริมาณ 3-5 CC |
ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์แบบไหน? | ฟิลเลอร์เนื้อเนียนละเอียดและไม่เป็นก้อน เช่น Restylane Vital light และ Juvederm Volbella |
2. ฟิลเลอร์ขมับ
ฟิลเลอร์ขมับ | รายละเอียด |
เหมาะกับใคร? | คนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนเข้ารูป, คนที่มีปัญหาขมับตอบ ขมับยุบและคนที่มีปัญหาโหนกแก้มใหญ่และกางออกด้านข้าง |
ฉีดฟิลเลอร์ขมับต้องกี่ cc | ปริมาณ 2-4 CC |
ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์แบบไหน? | ฟิลเลอร์เนื้อแข็งหรือแข็งปานกลาง มีลักษณะฟูสวยและสามารถยกกระชับได้ เช่น Juvederm Ultra Plus และ Juvederm Voluma |
3. ฟิลเลอร์ใต้ตา
ฟิลเลอร์ใต้ตา | รายละเอียด |
เหมาะกับใคร? | คนที่เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกใต้ตายุบและเนื้อน้อยลง ผิวหนังเกิดความหย่อนคล้อย ต้องการคืนความสดใสหรือมองหาตัวช่วยให้ใบหน้าดูเด็กลง |
ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่ CC | ปริมาณ 1-2 CC |
ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์แบบไหน? | ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เช่น Restylane Vital light และ Belotero revive |
4. ฟิลเลอร์แก้มส้ม
ฟิลเลอร์แก้มส้ม | รายละเอียด |
เหมาะกับใคร? | คนต้องการแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึก แก้มตอบ แก้มหย่อนหรือแก้มยุบลง, คนที่ต้องการแก้ไขปัญหาโหนกแก้มสูง โหนกแก้มแบนหรือโหนกแก้มเยอะเกินไป, คนที่ต้องการแก้ไขปัญหาร่องลึกใต้ตาและร่องน้ำตาและคนที่ต้องแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย |
ฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มใช้กี่ cc | ปริมาณ 2-3 CC |
ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์แบบไหน? | ฟิลเลอร์เนื้อแข็งถึงแข็งปานกลาง ที่มีการทรงตัวดีและสามารถยกกระชับได้ เช่น Definisse Core และ Restylane Perlane Lyft |
5. ฟิลเลอร์จมูก
ฟิลเลอร์จมูก | รายละเอียด |
เหมาะกับใคร? | คนที่มีฐานจมูกอยู่พอสมควรแต่ต้องการให้มีสันจมูกหรือปลายจมูกคมขึ้น |
ฉีดฟิลเลอร์จมูกใช้กี่ cc | ปริมาณไม่เกิน 1 CC |
ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์แบบไหน? | ฟิลเลอร์ที่มีค่าความแข็งมากที่สุด อย่าง Restylane Perlane Lyft |
6. ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม | รายละเอียด |
เหมาะกับใคร? | คนที่มีร่องแก้มไม่ลึกมากและคนที่มีผิวแห้งจนทำให้เกิดร่องแก้ม |
ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มใช้กี่ cc | ปริมาณ 1-3 CC |
ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์แบบไหน? | ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ที่มีความยืดหยุ่นสูง เช่น Juvederm Volift และ Juvederm Ultra Plus XC |
7. ฟิลเลอร์แก้มตอบ
ฟิลเลอร์แก้มตอบ | รายละเอียด |
เหมาะกับใคร? | คนที่หน้าทั้งสองข้างไม่เท่ากันและคนที่มีหน้าซูบผอม |
ฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบใช้กี่ cc | ปริมาณ 2-4 CC ขึ้นไป |
ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์แบบไหน? | ฟิลเลอร์เนื้อเจลแข็งหรือฟิลเลอร์ประเภทที่เนื้อไม่แข็งไปหรือนิ่มไป เช่น Juvederm Volift และ Neuramis Deep |
8. ฟิลเลอร์ปาก
ฟิลเลอร์ปาก | รายละเอียด |
เหมาะกับใคร? | เหมาะกับคนที่มีปัญหาปากแห้ง มีริ้วรอยบริเวณขอบปากและมีริมฝีปากบาง |
ฟิลเลอร์ปากควรฉีดกี่ cc | ปริมาณ 1-2 CC |
ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์แบบไหน? | ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มหรือฟิลเลอร์ที่มีค่าความยืดหยุ่นสูง เช่น Restylane Kysse และ Juvederm Volbella |
9. ฟิลเลอร์กรอบหน้า
ฟิลเลอร์กรอบหน้า | รายละเอียด |
เหมาะกับใคร? | คนที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด, คนที่มีกรอบหน้าเหลี่ยม ใบหน้าดุเกินไป, คนที่มีใบหน้าและกรอบหน้าไม่เท่ากันและคนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้สมส่วน มีมิติมากขึ้น |
ฉีดฟิลเลอร์กรอบหน้าใช้กี่ cc | ปริมาณ 4-6 CC ขึ้นไป |
ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์แบบไหน? | ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง เช่น Juvederm Voluma และ Neuramis Volume |
10. ฟิลเลอร์คาง
ฟิลเลอร์คาง | รายละเอียด |
เหมาะกับใคร? | คนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้สมมาตรหรือหน้าเรียวแบบวีเชฟ โดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรมเสริมคาง |
ควรฉีดฟิลเลอร์คางกี่ CC | ปริมาณ 1-2 CC |
ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์แบบไหน? | ฟิลเลอร์เนื้อแน่น มีความคงตัวสูงและไม่ฟูมาก เช่น Juvederm Volux และ Neuramis Volume |
เตรียมตัวเองอย่างไร? ให้พร้อมก่อนฉีดฟิลเลอร์?
1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์เพิ่มเติม เช่น การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและวิธีสังเกตฟิลเลอร์ปลอม vs ฟิลเลอร์จริง เป็นต้น
2. งดยากลุ่มต้านการอักเสบและวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน, NSAIDs, น้ำมันปลา, สารสกัดจากโสม กระเทียมหรือขิง อย่างน้อย 2 สัปดาห์
3. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 1-3 วัน
4. งดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของการผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA และ BHA รวมถึงหลีกเลี่ยงการดึงและการโกนขนตรงตำแหน่งฉีดฟิลเลอร์
5. งดนวดหน้าหรือทำเลเซอร์อย่างน้อย 3 วัน
6. กรณีมีโรคประจำตัวหรือมียาที่จำเป็นต้องรับประทานเป็นประจำ ควรแจ้งแพทย์ก่อนฉีดทุกครั้ง
7. แพทย์อาจฉีดยาลดบวมหรือให้กินยาห้ามเลือดในบางคน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการอักเสบ การติดเชื้อและอาการบวมหรือช้ำ
8. หากต้องการแปะยาชาก่อนฉีดสามารถแจ้งแพทย์ได้ด้วยตัวเอง
9. ล้างเครื่องสำอางให้สะอาดก่อนเข้าพบแพทย์
หลังฉีดฟิลเลอร์ มีข้อควรระวังอะไรบ้าง?
1. หากพบว่าก่อนฉีดไม่ได้กินยาฆ่าเชื้อ หลังฉีดฟิลเลอร์เสร็จควรรีบกินยาฆ่าเชื้อในทันที
2. หลีกเลี่ยงการเกา การแตะหรือการกดนวดบริเวณที่ฉีด
3. งดการเลเซอร์แบบลงผิวชั้นลึกทุกประเภทอย่างน้อย 1 เดือน
4. หลีกเลี่ยงการขยับผิวในบริเวณที่ทำการฉีดอย่างน้อย 3 วันหลังฉีด เพื่อป้องกันฟิลเลอร์เคลื่อน
5. ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงเส้นเลือดขยายตัวและรอยเข็มตรงตำแหน่งฉีดฟิลเลอร์หายช้าลง
6. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ
7. พยายามอย่าให้ใบหน้าโดนความร้อนโดยตรง เช่น ซาวน่าหรือออกกำลังกายตากแดดรวมถึงทำกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
8. งดรับประทานอาหารที่อาจส่งผลทำให้เกิดการอักเสบ บวมหรือฟิลเลอร์เข้าที่ช้า เช่น อาหารหมักดอง, อาหารที่มีรสเผ็ดและอาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ
ฉีดฟิลเลอร์แล้ว อยู่นานกี่ปี? มีสารตกค้างในร่างกายไหม?
ฉีดฟิลเลอร์แล้ว จะสามารถอยู่ได้นานกี่ปีนั้นขึ้นอยู่กับเทคนิคทางการแพทย์ ขนาดโมเลกุลและชนิดของฟิลเลอร์ แต่โดยทั่วไปจะอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน – 2 ปี หลังจากนั้น ฟิลเลอร์จะสลายหายไปเองโดยไม่มีสิ่งตกค้างอันตรายใดๆ หลงเหลือในร่างกาย ทั้งนี้หัตถการฉีดฟิลเลอร์ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ, เข้ารับการบริการในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐานการรับรองด้วย
สรุป
ถึงแม้การฉีดฟิลเลอร์ 1 CC จะเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้นใช้ครั้งแรก แต่อาจไม่แน่นอน เนื่องจากปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แพทย์อาจลงความเห็นให้ฉีดในปริมาณที่แตกต่างกันไป ดังนั้นก่อนฉีดจึงจำเป็นต้องขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ดีเสียก่อน ว่าปัญหาที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่นั้นต้องฉีดปริมาณเท่าไหร่? แก้ไขปัญหาด้วยวิธีใด? เพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์จะมีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อได้คำตอบชัดเจนแล้ว ก็สั่งซื้อฟิลเลอร์ของแท้ส่งตรงจากต่างประเทศกับ 44botox สำหรับหัตถการฉีดฟิลเลอร์กันได้เลย สั่งแล้วรอรับฟิลเลอร์ที่หน้าบ้านแล้วใช้บริการกับคลินิกใกล้บ้านหรือขอคำปรึกษาเลือกจองคิวรับบริการกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่คลิกนิกในเครือ 44 botox ได้เลย จะได้พิสูจน์ดูว่า ถ้าคุณหน้าตาดีขึ้นแล้วโลกจะอ่อนโยนกับคุณมากขึ้นจริงไหม?